สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ชื่อเล่น: ต้อย) เป็น ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย และคณาจารย์สถาบันทิศทางไทย แกนนำกปปส. ลำดับที่สอง รองจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้อำนวยการ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ร่วมด้วยช่วยกัน และสำนักข่าวทีนิวส์ ประธานเครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้อง- สถาบันพระมหากษัตริย์ ปัจจุบัน เป็นรองประธานกรรมการบริษัท เนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป  และประธานคณะกรรมการบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ Nation TV

คำพูด

แก้ไข
  • รัฐบาลไทยในขณะนี้ดูเหมือนอยู่ในช่วงเวลา 00.00 น. ซึ่งวังเวงเหลือเกินสำหรับกองเชียร์ที่เชียร์ พล.อ. ประยุทธ์  เพราะว่าวันนี้กำลังเกิดสงครามข่าวสาร ที่เรียกว่าแพ้แล้วแพ้อีกสำหรับรัฐบาล เพราะรัฐบาลไม่เคยเข้าใจว่าวันนี้ รัฐบาลไม่ได้ต่อสู้กับฝ่ายค้านในระบบรัฐสภา แต่ฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกำลังก่อสงครามข่าวสารเพื่อต้องการโค่นล้มรัฐบาล และการโค่นล้มรัฐบาลนั้นก็เพื่อต้องการบั่นทอนความเชื่อถือของประชาชนต่อรัฐบาล  ความเป็นจริงในสงครามปฏิวัติ อาวุธไม่ใช่เครื่องชี้ขาดในการโค่นล้ม แต่ผู้ชี้ขาดก็คือกระแสความไม่เชื่อถือ ความเบื่อหน่ายของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล และกระแสความเบื่อหน่าย ความไม่น่าเชื่อถือ  มาจากสงครามข่าวสาร และสงครามข่าวสารที่ทรงพลังที่สุดก็คือ ข่าวสารปลอม ข่าวสารเท็จ ที่เรียกว่า เฟกนิวส์  ประชาชนต้องฟังข่าวสารซ้ำแล้วซ้ำเล่า จริงเท็จปะปนกันไป ที่สุดทนไม่ไหวออกมาไล่รัฐบาล[1]
  • ดังนั้นประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ คือ ไวรัสโคโรน่า 2019 เป็นข่าวที่ประชาชนแตกตื่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะข่าวสารนี้กระจายออกไปทั่วโลก เงื่อนไขนี้เป็นเหยื่อสำคัญที่ฝ่ายโค่นล้มรัฐบาล หยิบขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการเล่นงานรัฐบาล ในสงครามข่าวสารอาวุธที่สำคัญที่สุด คือข่าวที่เป็นเท็จ ข่าวปลอม เพราะสามารถที่จะสร้างสิ่งที่ไม่จริงมาให้เกิดเป็นความน่าเชื่อถือ ให้ประชาชนตื่นตระหนก และประชาชนหวาดกลัว เมื่อเกิดข่าวนี้ขึ้น การหวังผลแยกเป็น 2 ทาง ทางแรก คือ คนที่จงใจปล่อยข่าว สร้างข่าว ขยายข่าวสารเอง  ทางที่สอง  รอให้คนที่มีชื่อเสียงกระโดดงับเพราะความตั้งใจ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ไม่ฉลาด หรือ ตั้งใจ เจตนาจะขยาย อย่างหมวดเจี๊ยบ  ร้อยเอกหญิง สุณิสา ทิวากรดำรง ออกมาบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลจีนไม่ยอมให้รัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับ เพราะสื่อต่างประเทศรายงานว่า ขณะนี้สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินไปรับประชาชนและเจ้าหน้าที่ทางการทูตของสหรัฐฯออกจากอู่ฮั่นแล้วนับร้อยคน ถ้ารัฐบาลสหรัฐฯ ทำได้ ทำไมรัฐบาลประยุทธ์ ทำไม่ได้ ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  บอกว่า เรามีนักศึกษาและประชาชนที่เดือดร้อนที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ที่ไวรัสโคโรน่าแพร่ระบาด เรามีบุคลากรที่เตรียมพร้อม เครื่องบินที่พร้อมไปรับประชาชนทันทีแต่ไม่ได้ไปเพราะรอนายกฯสั่งการ ผู้พิพากษาก็ออกมาว่ารัฐบาล[1]
  • ทักษิณ มีอำนาจเหนือพรรคการเมือง ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย จนถึงพลังประชารัฐ จนถึงเพื่อไทย[2]
  • รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร  มีผลงาน ประชาชนเชื่อถือ  เลือกตั้งทุกครั้งประชาชนก็ชนะเลือกตั้ง แต่สองครั้งที่ม็อบใหญ่ๆ พันธมิตรฯ จนมาถึง กปปส. ออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากทักษิณ ชินวัตร และพรรคการเมืองเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน  พรรคเพื่อไทย ล้วนมาจากสงครามข่าวสาร เพียงแต่ว่าสงครามข่าวสารในครั้งนั้น เป็นเนื้อหาจริงที่ประชาชนรู้ว่า ทักษิณ และเครือข่ายทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้อง เมื่อรัฐบาลนี้ไม่เข้าใจในสงครามข่าวสาร ก็คิดแต่ว่า แค่ทำการประชาสัมพันธ์ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจง ประชาสัมพันธ์ แถลงข่าว ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบออกหน้าจอโทรทัศน์ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ที่สำคัญโดยเฉพาะผู้รับผิดชอบคือโฆษกรัฐบาลเป็นนักวิชาการทางด้านการเงินที่มีความสามารถ แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านประชาสัมพันธ์ ไม่มีทักษะ ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นก็คือ การแถลงข่าวไปตามปกติ ทีวีมาถ่าย ชี้แจงครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าการทำสงครามข่าวสาร ต้องตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลิกแพลงรูปแบบ วิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำอย่างไร และเราจะดำเนินการอย่างไร แก้เกม รุกกลับ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นทหารย่อมรู้ดีว่า ต้องมีการรุกกลับ การยัน และการรับ สงครามข่าวสาร ก็เหมือนกัน รัฐบาลไม่เคยดำเนินการตามยุทธศาสตร์นี้เลย[1]
  • เคยคิดปฏิวัติพลิกแผ่นดินนี้มาก่อน”ธนาธร”จะเกิดเสียด้วยซ้ำ สถานะทางชนชั้นเป็น “ไพร่” โดยกำเนิด แต่ทำไมเลิก? จะขยายให้ได้รู้ เมื่อศึกษาและคิดเดินหน้าปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม ก็เริ่มต้นที่ทฤษฎีว่าด้วย “ความเท่าเทียม” ก็ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจเรื่องของชนชั้น ว่าที่ได้มีขึ้นนั้นเกิดจาก “โครงสร้างทางเศรษฐกิจ” และปัจจัยการผลิตเป็นตัวกำหนด แต่เมื่อหันไปมองข้อเท็จจริงในปัจุบันนี้ “ไพร่” จะไปปฏิวัติ “เจ้าที่ดิน” ที่ไหน??? เพราะในประเทศไทยนั้นที่ดินถูกกระจายไปยังประชาชนคนธรรมดาหมดแล้ว คนที่ถือครองที่ดินและมูลค่าส่วนเกินอื่นๆล้วนเป็น “ชนชั้นนายทุน” เช่นเดียวกับตระกูลของ “ธนาธร” ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้า “ธนาธร” คิดถึงจะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมก็ต้องโค่นล้ม “ชนชั้นนายทุน” และ “ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ” ของ “ธนาธร” เสียก่อนเป็นลำดับแรกแล้วก็ยึดบริษัทมาให้ “กรรมกร” หรือ “พนักงาน” เป็นเจ้าของตามทฤษฎีของความเท่าเทียม “ธนาธร” ทำตัวมีปัญหากับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ทั้งๆที่ต้นตระกูลของ “ธนาธร” หนีตาย” มาจากจีนผืนแผ่นดินใหญ่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของ “พระมหากษัตริย์ไทย” แล้วก็ใช้แผ่นดินนี้แสวงหาความร่ำรวยจนลูกหลานอย่างธนาธรอยู่กันอย่างสุขสบาย แต่ยังสามารถคิดเนรคุณได้!!!! ลองไตร่ตรองดูว่าเป็นความจริงหรือไม่ “พระพุทธศาสนา” มีหลักสอนที่สำคัญว่า “ใครทำอะไรก็จะได้รับผล” อันนั้น ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความวิเศษใดๆในโลกนี้ที่จะบันดาลชีวิตใครได้ ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายจะเกิดขึ้นตลอดเวลาตามเหตุปัจจัย ข้อเท็จจริงเหล่านี้”ธนาธร”ไม่รู้ไม่เคยศึกษาหรือมองข้าม หรือรู้แล้วยังดันทุรังเพราะยึดมั่นในอัตตาของตัวเองว่าตัวข้าแน่ หาก”ธนาธร”คิดทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจท่ีจะทำเพื่อคนอื่นจริง ก็ลองเปิดใจศึกษาพระพุทธศาสนาแล้วจะรู้ว่าทำไม”ฝ่ายซ้าย”ในอดีตที่คิดจะเปลี่ยนแปลงโค่นล้มสังคมถึงเปลี่ยนไปเมื่อได้สัมผัสกับคำสอนอันเป็นสัจจะแท้จริงของพระพุทธศาสนาท่ีว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนิจจัง  ทุกขัง อนันตา หรือ แปลเป็นภาษาง่ายๆว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเปลี่ยนแปลงตั้งอยู่ในลักษณะเดิมไม่ได้และสุดท้ายก็จะสลายไป หาไม่แล้วก็อยากจะเตือนว่า”จุดจบสุดท้าย” ของการเป็น”ซ้ายปัญญาอ่อน”ของ”ธนาธร”ก็จะมีจุดจบที่ไม่ต่างกับ”ทักษิณ ชินวัตร”และคนอื่นๆที่ก้าวล่วง”สถาบันพระมหากษัตริย์” ไม่มีใครไปทำอะไรหรอก แต่กรรมจะจัดสรรให้ได้รับผลเห็นๆในชาตินี้แน่นอน[3]
  • รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร  มีผลงาน ประชาชนเชื่อถือ  เลือกตั้งทุกครั้งประชาชนก็ชนะเลือกตั้ง แต่สองครั้งที่ม็อบใหญ่ๆ พันธมิตรฯ จนมาถึง กปปส. ออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากทักษิณ ชินวัตร และพรรคการเมืองเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน  พรรคเพื่อไทย ล้วนมาจากสงครามข่าวสาร เพียงแต่ว่าสงครามข่าวสารในครั้งนั้น เป็นเนื้อหาจริงที่ประชาชนรู้ว่า ทักษิณ และเครือข่ายทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้อง เมื่อรัฐบาลนี้ไม่เข้าใจในสงครามข่าวสาร ก็คิดแต่ว่า แค่ทำการประชาสัมพันธ์ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจง ประชาสัมพันธ์ แถลงข่าว ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบออกหน้าจอโทรทัศน์ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ที่สำคัญโดยเฉพาะผู้รับผิดชอบคือโฆษกรัฐบาลเป็นนักวิชาการทางด้านการเงินที่มีความสามารถ แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านประชาสัมพันธ์ ไม่มีทักษะ ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นก็คือ การแถลงข่าวไปตามปกติ ทีวีมาถ่าย ชี้แจงครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าการทำสงครามข่าวสาร ต้องตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลิกแพลงรูปแบบ วิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำอย่างไร และเราจะดำเนินการอย่างไร แก้เกม รุกกลับ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นทหารย่อมรู้ดีว่า ต้องมีการรุกกลับ การยัน และการรับ สงครามข่าวสาร ก็เหมือนกัน รัฐบาลไม่เคยดำเนินการตามยุทธศาสตร์นี้เลย[4]
  • ดังนั้นประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ คือ ไวรัสโคโรน่า 2019 เป็นข่าวที่ประชาชนแตกตื่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะข่าวสารนี้กระจายออกไปทั่วโลก เงื่อนไขนี้เป็นเหยื่อสำคัญที่ฝ่ายโค่นล้มรัฐบาล หยิบขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการเล่นงานรัฐบาล ในสงครามข่าวสารอาวุธที่สำคัญที่สุด คือข่าวที่เป็นเท็จ ข่าวปลอม เพราะสามารถที่จะสร้างสิ่งที่ไม่จริงมาให้เกิดเป็นความน่าเชื่อถือ ให้ประชาชนตื่นตระหนก และประชาชนหวาดกลัว เมื่อเกิดข่าวนี้ขึ้น การหวังผลแยกเป็น 2 ทาง ทางแรก คือ คนที่จงใจปล่อยข่าว สร้างข่าว ขยายข่าวสารเอง  ทางที่สอง  รอให้คนที่มีชื่อเสียงกระโดดงับเพราะความตั้งใจ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ไม่ฉลาด หรือ ตั้งใจ เจตนาจะขยาย อย่างหมวดเจี๊ยบ  ร้อยเอกหญิง สุณิสา ทิวากรดำรง ออกมาบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลจีนไม่ยอมให้รัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับ เพราะสื่อต่างประเทศรายงานว่า ขณะนี้สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินไปรับประชาชนและเจ้าหน้าที่ทางการทูตของสหรัฐฯออกจากอู่ฮั่นแล้วนับร้อยคน ถ้ารัฐบาลสหรัฐฯ ทำได้ ทำไมรัฐบาลประยุทธ์ ทำไม่ได้ ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  บอกว่า เรามีนักศึกษาและประชาชนที่เดือดร้อนที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ที่ไวรัสโคโรน่าแพร่ระบาด เรามีบุคลากรที่เตรียมพร้อม เครื่องบินที่พร้อมไปรับประชาชนทันทีแต่ไม่ได้ไปเพราะรอนายกฯสั่งการ ผู้พิพากษาก็ออกมาว่ารัฐบาล[4]
  • พูดได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของราชวงศ์จักกรีและพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้สร้างระบบสาธารณสุขขึ้นอันทำให้คนไทยได้รับผลและเห็นชัดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19[5]
  • นี่เป็นสิ่งที่สังคมรู้ดี ส่งต่อมอบอำนาจกันได้ จากพี่ไปน้อง จากเครือญาติไปเครือญาติ ส.ส. แต่ละคนรู้และสัมผัสได้ บางพรรค ส.ส. ต้องยอมผู้บริหารพรรคถึงขนาดเขียนใบลาออกไว้ล่วงหน้าเลย[6]
  • พรรคการเมืองมีเจ้าของ จนเกิดวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้นำไปสู่การชุมนุมใหญ่ของประชาชน และลากทหารเข้ามายึดอำนาจ[6]

อ้างอิง

แก้ไข